การดำเนินธุรกิจในโลกยุคเปลี่ยนแปลงและแข่งขัน
สิ่งที่เจ้าของธุรกิจจะต้องรู้เป็นหัวใจสำคัญอย่างมากสำหรับการอยู่รอดในโลกยุคปัจจุบัน
คือต้องรู้เขาและรู้เราไปพร้อมๆกัน และต้องหมั่นตรวจทั้งเขาและเราอยู่สม่ำเสมอ
รวมทั้งการตรวจสอบความต้องการของลูกค้าในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ไปพร้อม ๆ
กันด้วย และนี่คือ 7S ที่เจ้าของกิจการต้องรู้ให้ชัด
รู้ให้จริง
ถ้าต้องการจะให้ธุรกิจของเราอยู่ได้และเติบโตในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงและแข่งขันนี้
1. Strength: จุดแข็งของเรา
นี่คือสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องรู้เป็นอย่างแรกว่าจุดแข็งของธุรกิจเราคืออะไร
ไม่ว่าจุดแข็งนั้นจะเป็นสินค้าที่เป็นรูปธรรม หรือจะเป็นสินค้าบริการ
หรือจะเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ยากต่อการลอกเลียนแบบที่นำมาซึ่งการทำธุรกิจที่เหนือกว่าคู่แข่ง
แตกต่างกว่าคู่แข่ง ที่สำคัญต้องพัฒนาต่อยอดจุดแข็งของเราให้ทันสมัยและกว้างไกลขยายวงออกไปไม่ให้คู่แข่งสามารถตามเราทัน
ในขณะที่เราหนีคู่แข่งอยู่นั้น
สิ่งที่เราจะได้ตามมาอย่างไม่คาดคิดก็คือจุดแข็งที่เราต่อยอดพัฒนาอย่างต่อเนื่องนั้น
มันจะไปขจัดจุดอ่อนที่เรามีให้ค่อยๆลดขนาดลงไปพร้อมๆกันด้วย
เพราะฉะนั้นก่อนที่จะไปตื่นตระหนกตกใจกับจุดอ่อนและอุปสรรคที่เรามี
ให้หันหลับมาดูและสนใจจุดแข็งที่เรามี
พร้อมพัฒนาต่อยอดให้เป็นจุดขายของธุรกิจเราเป็นอันดับแรกๆ
เพื่อให้เราและเพื่อนร่วมงานเราเกิดความฮึกเหิม มีขวัญกำลังใจที่จะร่วมกันพัฒนาจุดแข็งของเราให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นเลิศชนิดที่คู่แข่งเองก็คิดไม่ถึงเช่นเดียวกัน
2. Story: ทำธุรกิจต้องมีตำนานและเรื่องราว
ลูกค้าจำนวนไม่น้อยที่สนใจธุรกิจ…สินค้า…บริการ
ที่มีตำนานและเรื่องราวแต่ครั้งในอดีตที่น่าสนใจ
มีที่มาที่ไปของสินค้าและบริการของเรา เพราะฉะนั้นเราต้องสืบค้นประวัติความเป็นมาของธุรกิจที่เราสืบทอดมาจากบรรพบุรุษว่ามีที่มาที่ไปอะไรที่น่าสนใจบ้าง
กว่าที่จะมาเป็นวันนี้ได้ แต่ต้องเป็นเรื่องราวที่นำมานำเสนอแล้ว
ต้องจบด้วยความรู้สึกที่เป็นบวกนะครับ
อาจจะมาจากการต่อสู้กับการทำธุรกิจที่ล้มลุกคลุกคลานจนประสบความสำเร็จที่ฟังแล้วเกิดแรงบันดาลใจแก่ผู้ได้รับรู้
หรือจากการรักษาคุณภาพและสูตรลับความอร่อยที่สืบเนื่องมายาวนาน
หรือเรื่องราวของการเฟ้นหาวัตถุดิบคุณภาพดี มีเฉพาะที่เราเท่านั้น
ก่อนจะนำมาเป็นบทสรุปแห่งความสำเร็จในวันนี้ เป็นต้น
หากเป็นธุรกิจที่ใหม่ ที่ไม่มีตำนานแต่ในอดีต
ก็ต้องเฟ้นหาเรื่องราวจากกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน ทันสมัย
หรือวัตถุดิบที่นำมาใช้มีถิ่นที่มาหรือแหล่งที่มาคุณภาพที่แตกต่างเพียงใด
หรือส่วนผสมที่เป็นสูตรลับเฉพาะที่ได้รับองค์ความรู้มาจากต้นตำหรับในยุคใด ฯลฯ
และนำตำนานและเรื่องราวเหล่านั้นนำเสนอให้ผู้บริโภคและลูกค้าได้เห็นถึงความพิเศษที่แตกต่างจากสินค้าและธุรกิจของเรา
3. Style: มีรูปลักษณ์ที่ทันสมัย
ไม่ว่าสินค้าบริการของเราจะมีประวัติความเป็นมายาวนานแค่ไหนหรือทำมานานเพียงใดก็ตาม
สิ่งที่เราต้องคำนึงเสมอก็คือ ต้องปรับให้สอดคล้องกับยุคสมัยอยู่เสมอ
ทั้งบริการที่รวดเร็ว
รูปลักษณ์หน้าตาที่มีสไตล์สอดคล้องกับกลุ่มลูกค้าที่พัฒนาขึ้น
วิธีการนำเสนอที่แปลกแตกต่างจากรูปแบบเดิม หรือแม้กระทั่งการปรับรูปลักษณ์ รสชาติ
กลิ่น สีสัน ฯลฯ ให้สอดคล้องกับกลุ่มลูกค้า (Target) ที่เป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ๆในโลกปัจจุบันด้วย
เพราะในบางกรณี
แม้เราจะรักษาความเป็นดั้งเดิมบางอย่างเอาไว้แต่เราก็ต้องปรับปรุงหลายอย่างให้ลูกค้าที่ชอบความสะดวก, สบาย, ง่าย, คุณภาพดี
มีความถูกใจในเรื่องที่ลดความซับซ้อนยุ่งยากลงไป
พร้อมกับรูปลักษณ์ที่ดูแล้วรู้สึกว่าสอดคล้องกับสไตล์ กับตัวเอง
และโลกยุคใหม่ในแต่ละยุคสมัย
4. Service: การให้บริการที่เกินความคาดหมาย
ไม่ว่าสินค้าของคุณจะดีเด่นสักเพียงใด ก็ห้ามท่าเยอะ เรื่องมาก ลูกเล่นพราว
ถือดี อวดเด่น เล่นตัว งี่เง่า ฯลฯ เป็นอันขาด เพราะอย่างไรเสีย
ผู้ใช้บริการในแถบเอเชียก็ยังต้องการบริการที่ถึงลูกถึงคน ประเภทที่เข้าใจ เข้าถึง
อารมณ์ความรู้สึกและความต้องการอยู่ดี
เพราะถ้าเราไม่สามารถให้บริการที่ดีแก่ลูกค้าได้
ลูกค้าก็ยังมีทางเลือกอีกมากมายที่เป็นคู่แข่งของเรา
ซึ่งมีทั้งคู่แข่งทางตรงและคู่แข่งทางอ้อมที่จะมาเสียบแทนสินค้าและบริการของเราได้
และถ้าหากลูกค้าเบนเข็มไปหาคู่แข่งเพียงครั้งสองครั้ง
อาจจะเป็นปัญหาใหญ่ได้ในอนาคต เพราะเราอาจพบคู่แข่งที่เหนือชั้นกว่า
สามารถผูกใจลูกค้าไว้จนไม่กลับมาหาเราอีกเลย และถ้าเกิดเหตุการณ์นี้บ่อยๆ
เราอาจจะต้องทำงานหนักเป็นหลายเท่ากว่าจะทำให้ลูกค้าเหล่านั้นกลับมาหาเรา
อันเป็นการสูญเปล่าที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น
มีธุรกิจหลายชนิดที่ทำทุกอย่างได้ค่อนข้างดีทั้งคุณภาพสินค้า การสร้างความแตกต่าง
มีความทันสมัย ฯลฯ
แต่มาตกม้าตายตรงการให้บริการที่ไม่สามารถเข้าถึงใจและความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า
5. Sincerity: ความจริงใจในการดำเนินธุรกิจ
ความจริงใจนี้รวมถึงความจริงใจกับลูกค้า คู่ค้า เพื่อนร่วมงานในองค์กร เลยไป
แม้กระทั่งผู้ร่วมลงทุนหรือผู้ถือหุ้นด้วย เพราะถ้าเกิดความไม่จริงใจ ณ
จุดใดจุดหนึ่งได้ ก็สามารถลามเลยไปถึงจุดอื่นๆได้โดยไม่ยากนัก
เพราะฉะนั้นผู้ประกอบการจะต้องมีความจริงใจในการดำเนินธุรกิจกับทางภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับองค์กร
และความจริงใจนี้จะส่งผลให้เกิดความมั่นใจ ความภาคภูมิใจ
ความนับถือตนเองอันจะนำไปสู่การเป็นองค์กรที่มีวัฒนธรรมองค์กรที่มีคุณธรรม
จริยธรรม ในการปลูกฝังให้คนรอบข้างมีความโปร่งใสและมีจิตใจที่ดีงาม
ส่งผลไปถึงการดำเนินธุรกิจที่สามารถผูกใจ ผู้เกี่ยวข้องกับธุรกิจไว้ได้ตลอดกาล
ท้ายที่สุดของผลพวงเหล่านี้ก็คือการเติบโตขององค์กร
ท่ามกลางความพึงพอใจของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและองค์กรของเรา
6. Sensitivity: อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงและแข่งขัน
ผู้นำองค์กรในแต่ละธุรกิจต้องรู้สึกไวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงและแข่งขันอยู่ตลอดเวลา
อย่าให้เกิดกรณีเหมือนทฤษฏี “กบต้ม” คือกว่าจะรู้สึกว่าน้ำร้อน กบก็สุกเสียแล้ว
หนีก็ไม่ทันเสียแล้ว จึงตายในที่สุด มีธุรกิจลักษณะนี้ให้เห็นอยู่บ่อย ๆ
ไม่เว้นแต่ยักษ์ใหญ่อย่างฟิล์มโกดักหรือฟูจิ
ผู้นำองค์กรในระดับต่างๆจึงต้องเรียนรู้และรับรู้ความเคลื่อนไหวของโลกภายนอก
ตลอดจนคู่แข่งทั้งทางตรงและทางอ้อมว่ามีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด
จะทำเฉยเมยหรือช่างหัวมันไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของเราแน่นอน
ไม่ช้าก็เร็ว เพราะฉะนั้นผู้นำธุรกิจจึงต้อง “รู้เร็ว...รู้รอบ...รู้ลึก”
จึงจะปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงและแข่งขันได้ทันท่วงที
7. Sustainability: การพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืน
โลกสมัยใหม่และลูกค้าที่ฉลาดขึ้น กำหนดให้ธุรกิจต้องหันมาสนใจการดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจ
และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ศิลปวัฒนธรรม สังคม ชุมชน
และความเป็นธรรมชาติที่องค์กรเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หากองค์กรไม่ทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งเหล่านี้
สินค้าและบริการ รวมถึงองค์กรของเราก็จะถูกต่อต้านจากลูกค้า สังคม และชุมชน
เพราะฉะนั้นเราจะเห็นองค์กรต่าง ๆ หันมาใส่ใจเรื่องเหล่านี้มากยิ่งขึ้น
และใช้เป็นเครื่องมือในการโฆษณาประชาสัมพันธ์องค์กรของตน เพื่อสร้างความเชื่อถือ
ศรัทธา และการยอมรับจากลูกค้าและสังคม เช่นการที่องค์กรเหล่านั้นบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยลงสู่คลองธรรมชาติ, ไม่ทำธุรกิจแข่งกับธุรกิจชุมชน, ธุรกิจตนสนับสนุนวัฒนธรรมอันดีงาม,
องค์กรตนส่งเสริมความมีคุณธรรม จริยธรรม
ด้วยการรับผิดชอบต่อการขายสินค้าที่มีคุณภาพ เป็นต้น
เหล่านี้เป็นสิ่งที่องค์กรพยายามแสดงจุดยืนของการดำเนินธุรกิจว่าเขาไม่ได้เน้นแต่กำไรจากการดำเนินธุรกิจเท่านั้น
แต่การดำเนินธุรกิจของเขาคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมด้านต่างๆ
อันเป็นการคืนกำไรให้กับสังคม อันเป็นการสร้างการยอมรับนับถือจากสังคม
และลูกค้าอีกนัยหนึ่งด้วย
นี่คือ 7S ของผู้ประกอบการในยุคการเปลี่ยนแปลงและแข่งขันในอนาคตและปัจจุบันจะต้องมีและคำนึงถึง
เพื่อให้องค์กรของตนดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนและมั่นคง
ท่ามกลางโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงและแข่งขัน
ที่มา : smartsme.tv